Review : ฟิลเตอร์เกรดโปร Nisi 10-stop

…สรุปสั้นๆ Nisi 10-stop ดีงามกว่า Lee Big-stopper ในด้านราคาถูกกว่า สีสันไม่เพี้ยน และไม่ติดขอบมืด แต่เสียที่ฟองน้ำบุด้านในไม่เท่ากัน ทำให้ต้องระวังในการใส่ฟิลเตอร์เข้า Holder…

 

บทความนี้ขอเป็นบันทึกการใช้อุปกรณ์ถ่ายภาพกันบ้าง ขอพูดถึง Filter ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากช่างภาพสาย Landscape นั่นก็คือ Nisi 10 stops หรือชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือ Nisi 100×100 mm. Nano IR Neutral Density Filter – ND1000 (3.0) – 10 stops … ชื่อยาวพอๆ กับ Daenerys Targaryen ในซีรีย์ Game of Thrones

Queen of Meereen, Queen of the Andals(, the Rhoynar) and the First Men, Lady Regnant of the Seven Kingdoms, Khaleesi of the Great Grass Sea, Mhysa, Breaker of Chains, the Unburnt, Mother of Dragons” นี่ใจคอจะตั้งชื่อแข่งกับกรุงเทพมหานคร เลยใช่ไหมเนี่ย?

[ภาพที่ 1: เปรียบเทียบฟิลเตอร์ Nisi 10-stop และ Lee Big-stopper สีสันในภาพอาจแตกต่างกันเนื่องจากสภาพแสงที่ถ่ายในวันนั้น แต่สีจริงใกล้เคียงกันครับ โดย Nisi จะเป็นสีเทามืด ส่วน Lee เนื้อฟิลเตอร์จะเป็นสีเทามืดเช่นกันแต่ติดส้มนิดๆ ที่แตกต่างกันคือการบุฟองน้ำ เห็นได้ว่า Lee ทำได้ดีกว่า ทำให้สามารถใส่ฟิลเตอร์ได้ง่าย สะดวกกว่า เพราะไม่ต้องพะวงว่าจะใส่ฟิลเตอร์ผิดฝั่งเหมือน Nisi]

[ภาพที่ 2: แสดงการใส่ฟิลเตอร์ Nisi 10-stops ที่ถูกต้อง โดยวางฟิลเตอร์ด้านที่มีฟองน้ำแคบกว่าไว้ด้านข้าง และวางส่วนที่มีการบุฟองน้ำหนากว่า ไว้ด้านบน/ล่าง หากใส่ผิดฝั่ง อาจทำให้ฟองน้ำร่อนได้ ต้องระวังให้มากครับ]

ฟิลเตอร์ Nisi 10 stops แผ่นนี้สามารถใช้ร่วมกับ Holder ของ Nisi หรือ Lee ก็ได้ครับ แต่หากใครเพิ่งเริ่มต้น ผมแนะนำชุด Nisi Holder จะคุ้มกว่า เพราะได้อุปกรณ์ต่างๆ ครบชุด เช่น Adapter 67, 72, 77mm. + Holder + CPL ในราคาที่ถูกกว่า Lee ครึ่งนึงเลย … สำหรับวัตถุประสงค์การใช้ฟิลเตอร์แผ่นชิ้นนี้ ก็เพื่อลดแสงเข้ากล้องไปได้ประมาณ 10 stops  สมมุติว่าเราต้องการถ่ายภาพทะเลสาบในวันฟ้าครึ้ม ลมแรงๆ เพื่อต้องการผลของเมฆไหล + น้ำนิ่ง ในเบื้องต้นเราก็วัดแสงให้ได้แสงที่พอดีก่อน โดยผมมักตั้งค่า Based iso ของกล้อง (เช่น iso 64 สำหรับกล้อง Nikon D810, หรือ iso 100 สำหรับ Nikon D750) ตามด้วยเลือกใช้ค่ารูรับแสงกลางๆ ที่ให้ความคมชัดทั้งภาพ  (เช่น f/8.0) ด้วยค่าดังกล่าว สมมุติได้ค่า Shutter speed = 1/30 วินาที เมื่อใส่ฟิลเตอร์ Nisi 10 stops เข้าไป ก็สามารถลาก Shutter speed ได้ถึง 30 วินาที โดยที่แสงไม่ล้นครับ (หากต้องการลากนานกว่านี้ก็ปรับเพิ่มค่ารูรับแสงมากขึ้น เช่น จาก f/8.0 – f/11.0 ทำให้สามารถเปิด Shutter speed ได้นานขึ้นอีก 1 stop เป็น 1 นาที เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่าง Nisi 10 stops และ Lee Big-stopper นั้น อย่างแรกคือเรื่องราคา Nisi 10 stops จะถูกกว่าครับ ประเด็นถัดไปคือเรื่องสีของภาพ (Colour cast) เมื่อใช้ฟิลเตอร์ … โดยทั่วไปเมื่อใช้ Lee Big-stopper จะติดสีฟ้าทั้งภาพ ทำให้เราต้องเร่ง WB ไปเป็น 10,000 K จึงจะได้สีที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการถ่าย แต่สำหรับ Nisi 10 stops ไม่พบปัญหาสีเพี้ยนเลยครับ โดยเราสามารถตั้งค่า WB เป็น Auto หรือ Daylight ได้ตามต้องการ ซึ่งยังช่วยให้การประยุกต์ใช้แฟรชร่วมกับการถายภาพวิวทิวทัศน์ได้สีสันที่ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น ไม่ต้องหาฟิลเตอร์มาสวมหน้าแฟรชเพื่อย้อมสีอีกต่อไป … หลักๆ ที่ได้คือความสะดวก รวดเร็วครับ แต่หากใครที่มีฟิลเตอร์ Lee Big-stopper อยู่แล้ว ผมไม่ค่อยอยากแนะนำให้ซื้อใหม่ ใช้ไปก่อน ใช้ให้คุ้ม เสียเวลานิดหน่อยปรับ WB ก็ได้ผลงานใกล้เคียงกันครับ … แต่หากใครยังไม่ได้จัด … แนะนำจัด Nisi 10 stops รับรองไม่ผิดหวัง

[ภาพที่ 3-5: เปรียบเทียบผลของการใช้ฟิลเตอร์ Nisi และ Lee จะเห็นว่า Nisi 10-stop ให้สีสันที่ตรง เป็นธรรมชาติกว่า Lee Big-stopper โดย Lee จะมีสีฟ้าติดเข้ามามากพอสมควร แต่แก้ไขได้โดยการดัน White Balance ไปที่ 10k ตอนที่ถ่ายภาพ ก็สามารถแก้ไขได้ดีระดับหนึ่ง]

นอกจากนี้ จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่า Nisi 10 stops จะไม่มีขอบภาพมืด ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ Nisi ได้ระบุในคู่มือผลิตภัณฑ์ว่า No Vignetting เมื่อเทียบกับ Lee Big-stopper แล้ว ที่ค่ารูรับแสงเท่ากัน และ Shutter speed เท่ากัน เราจะเห็นขอบภาพมืดเข้ามาทั้ง 4 มุมครับ (สามารถแก้ไขได้ไม่ยากนักในการแต่งภาพ)

ความแตกต่างที่สำคัญอีกเรื่อง คงเป็นความกว้างของฟองน้ำที่บุด้านในของฟิลเตอร์  ซึ่งเป็นฝั่งที่ต้องหันเข้าเลนส์เพื่อทำหน้าที่กันแสงรั่วเข้าไปในเลนส์   จากการใช้งานพบว่า Lee Big-stopper มีการบุฟองน้ำเท่ากันทุกด้าน ทำให้เวลาเลื่อนฟิลเตอร์เข้า Holder ทำได้รวดเร็วกว่า (เพราะใส่ได้ทุกด้าน) แต่สำหรับ Nisi 10 stops นั้นจะบุฟองน้ำด้านบน/ล่าง “กว้างกว่า” ด้านซ้าย/ขวา … ดังนั้นการเลื่อนฟิลเตอร์เข้า Holder ทุกครั้ง ต้องพลิกฟิลเตอร์ให้ถูกด้าน ไม่อย่างนั้นเนื้อฟองน้ำด้านที่กว้างกว่าจะไปชนกับขอบ Holder ทำให้ใส่ไม่เข้าครับ … และอย่าเผลอออกแรงดันแรงๆ นะครับ … เนื้อฟองน้ำอาจย่นได้ครับ

สำหรับประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันมากแล้ว เช่น น้ำหนักใกล้เคียงกัน, การป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้ากระจกเหมือนๆ กัน, และตกแตกเหมือนกัน Y_Y อย่าเผลอเชียวนะครับ แค่พริบตาเดียวเท่านั้นหล่ะ กว่าจะรู้ตัว ฟิลเตอร์ครึ่งหมื่นอาจกระจายเป็นเสี่ยงๆ ได้ถ้าไม่ระวังให้ดี

[ภาพที่ 6: เทคนิคการถ่ายภาพด้วยฟิลเตอร์ลดแสง 10-stop ก็คือ ผมจะตั้งค่ากล้องเบื้องต้นที่ iso 100, f8.0 ทดลองถ่ายภาพดูว่าค่า Shutter speed ที่เหมาะสมคือเท่าใด จากนั้นเมื่อใส่ฟิลเตอร์ลงไป ก็ปรับชดเชยโดยเปิดแสงมากขึ้นอีก 10 stops หากไม่สะดวกนับ มีโปรแกรมสำเร็จรูปบนโทรศัพท์มือถือ ชื่อว่า “Lee Filters – Stopper Exposure Guide” ลองไปหามาใช้ดูได้ครับ]

[ภาพที่ 7: ลาก 30 วินาที โดยเปิด iso 64, f/11.0 บนเลนส์ Nikon 16-35 mm. @ 16 mm.]

[ภาพที่ 8: ภาพสุดท้ายนี้ไม่เกี่ยวกับการใช้ฟิลเตอร์ 10-stop Big Stopper นะ แค่ทดลองใช้ฟิลเตอร์ใน Photoshop ชื่อว่า Radial blur เพื่อเลียนแบบการเคลื่อนที่ของเมฆที่ได้จากการลาก Shutter speed ด้วยฟิลเตอร์ดังกล่าว เทคนิคนี้เหมาะกับคนที่ขี้เกียจแบกฟิลเตอร์ระหว่างเดินทาง หรือไม่อยากวุ่นวายกับชุดอุปกรณ์ที่มากเกินไป เทคนิคนี้ไม่ยากครับ แค่ปรับแต่งท้องฟ้าด้วย Radial blur ใน Photoshop แล้ว Mask เก็บไว้เฉพาะส่วนท้องฟ้า อาจต้องใช้ทักษะการแต่งภาพสักหน่อย ลองดูนะครับ]

Previous
Previous

จัดอุปกรณ์เพื่อลุยถ่ายภาพ Landscape?

Next
Next

เตรียมตัวไปลุยทริป ตปท : Check list อุปกรณ์เดินเขาสำหรับช่างภาพ